หน่วยที่ 2
ปัจจัยสภาพแวดล้อมต่างที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต
(Environmental  Factors)

2.1 เครื่องปลูก
2.1.1 ดิน ( Soil )
          แต่เดิมเราปลูกพืชลงในดิน หรือนำเอาดินมาเป็นเครื่องปลูก  ดินช่วยในการพยุงลำต้น  ให้อากาศ  ตลอดจนให้น้ำและแร่ธาตุแก่ต้นพืช  ซึ่งดินเหล่านี้มีคุณสมบัติทั้งทางฟิสิกส์และเคมี  เป็นไปตามความความเหมาะสมของพืช  อีกทั้งไม่มีสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยเจือปน
          ปัจจุบันดินหายาก และที่มีอยู่ก็หาคุณสมบัติเป็นไปตามความต้องการ ดังแต่ก่อนไม่ บางครั้งยังมีสารที่เป็นพิษกับต้นพืชอีก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับปรุงดินให้ดีขึ้น ถ้าเป็นไปได้ควรจะปรับปรุง ให้ตรงกับความต้องการของพืชแต่ละชนิด โดยเฉพาะไม้ดอกที่มีอายุสั้น ดินที่ใช้ปลูกจะต้องมีความอุดมสมบูรณ์สูง   เพื่อว่าการเจริญเติบโตทางต้นของไม้ดอกเป็นไปด้วยดี  ดอกที่ได้จากต้นที่สมบูรณ์เท่านั้น จึงจะมีคุณภาพที่ดีตามความต้องการของตลาด
     2.1.1.1  การปรับปรุงดิน ให้มีคุณสมบัติครบถ้วน ตามความต้องการของไม้ดอกนั้น สามารถทำได้โดยใช้วัสดุต่าง ๆ ทั้งอินทรีย์วัตถุ และอนินทรีย์วัตถุ ซึ่งเรียกว่า วัสดุปรุงดิน
     2.1.1.2  วัสดุปรุงดิน ควรมีคุณสมบัติดังนี้
          - โปร่ง
          - ไม่เน่าเปื่อยผุพังเร็วจนเกินไป
          - อุ้มน้ำได้ดีพอควร
          - มีปริมาณเกลือแร่ต่ำ
          - ราคาถูก
          - สะอาด ปราศจากโรคแมลง ตลอดจนสารพิษเจือปน
          - มีความสม่ำเสมอ
          - ไม่เป็นกรดหรือด่างจัด
          - หาง่าย
     2.1.1.3  ประเภทของวัสดุปรุงดิน
     อินทรียวัตถุ
          1. ปุ๋ยคอก ได้จากมูลสัตว์ต่างๆควรเป็นปุ๋ยคอกเก่าค้างปีถ้าเป็นปุ๋ยคอกสด แม้ว่าจะมีปริมาณไนโตรเจนสูง กว่าปุ๋ยคอกเก่าแต่ถ้าใส่ปรับปรุงดินแล้วจะทำให้ต้นไม้ดอกตายได้ ปุ๋ยคอกมีประโยชน์ในการปรับปรุงคุณสมบัติทางฟิสิกส์ของดินและเครื่องปลูก ตลอดจนเป็นผลทางอ้อมในการปลดปล่อยธาตุ ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส ให้กับต้นพืช ควรเติมปุ๋ยคอกลงไปในดินหรือเครื่องปลูกทุกครั้ง ประมาณ 20 – 25%
          2. พีท ประกอบด้วยซากของพืชน้ำที่ขึ้นตามหนองบึงซึ่งทับถมอยู่ใต้ผิวน้ำ เป็นเวลานานๆจนอยู่ในสภาพผุเปื่อย พีทูเนียนิยมใช้ในหมู่ผู้ปลูกไม้ดอกในอเมริกาและ ยุโรป คือ peat moss
          3. ซังข้าวโพด ฟางข้าว แกลบ ชานอ้อย เปลือกถั่ว ขุยมะพร้าว ขึ้เลื่อย ขึ้กบ และเปลือกไม้ล้วนแต่ใช้เป็นอินทรีย์วัตถุได้ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่จะต้องพิจารณาคือคาร์บอนไนโตรเจนเรโช (C/N Ratio) ซึ่งควรจะประมาณ 50 : 1 หรือต่ำกว่าถ้าสูงกว่านี้ ควรจะเติมปุ๋ยไนโตรเจนลงไปด้วยประมาณ 1% ของน้ำหนักแห้งของอินทรีย์วัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสม
          4. ใบไม้ผุ ใบทองหลาง ก้ามปู หรือมะขามเทศ ในต่างประเทศได้จากใบ maple oak และ elm ใบไม้ต่างๆเหล่านี้ ส่วนมากนำมาหมักทับถมกันเป็นชั้น ๆ สลับกับดิน เติมปุ๋ยไนโตรเจน เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต เล็กน้อย พรมน้ำให้ชื้นพอสมควรจะช่วยให้ผุเร็วขึ้น หมั่นกลับกองปุ๋ยอยู่เสมอเพื่อให้ผุได้สม่ำเสมอ หมักประมาณ 3 เดือน จึงนำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่อาจมีปัญหาเรื่องไส้เดือนฝอย และเชื้อโรคควรจะฆ่าเชื้อก่อนนำไปใช้

     อนินทรีย์วัตถุ   ช่วยในเรื่องระบายน้ำและถ่ายเทอากาศ
          1. ทราย เป็นวัสดุปรุงดินที่ดีที่สุด หาง่าย ราคาไม่แพง สะอาด เป็นทรายก่อสร้าง ขนาดไม่ละเอียดหรือใหญ่เกินไป น้ำหนักมากไม่เหมาะที่จะผสมเป็นเครื่องปลูกไม้กระถาง
          2.  เพอร์ไลท์ เกิดจากหินภูเขาไฟโดยเอาหินดิบเหล่านั้นมาย่อยและร่อนแล้วอบเอาน้ำที่ติดอยู่ให้ระเหยเป็นไอออกไปทำให้เม็ดหินมีลักษณะเหมือนฟองน้ำน้ำหนักเบา 1 คิวบิคฟุต หนัก 6 – 8 ปอนด์ เบากว่าทราย 16 เท่า การนำไปอบที่อุณหภูมิ 1800  F  ทำให้เพอร์ไลท์ปราศจากเชื้อโรคมี pH  7.0 – 7.5 อุ้มน้ำได้เล็กน้อย
          3.  เวอร์บิคูไลท์ เป็นสารพวกไมก้า
          4.  Calcined clay  เป็นวัสดุที่ได้จาก clay  minerals ซึ่งถูก
นำไปเผาที่  1300  องศาฟาเรนไฮต์ ทำให้เกิดเป็นสีขาวมีน้ำหนัก  30 – 40 ปอนด์  ต่อคิวบิคฟุต  ไม่มีสารเป็นพิษต่อพืช ทนทานต่อการแตกสลาย ดูดน้ำได้ดี นิยมใช้บน  golf  green ในสนามกอล์ฟเป็นส่วนใหญ่ และเหมาะใช้เป็นส่วนผสมดินปลูกไม้ดอกด้วย

2.1.2 ปุ๋ย
          เดิมเราปลูกไม้ดอกในดิน และในดินมีธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช 13 ชนิด และอีก 3 ธาตุ(C,H,O)พืชได้จากน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศโดยผ่านเข้าทางใบ ขณะที่ดินที่ปลูกพืช จะหาดินที่มีธาตุอาหารครบถ้วนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องของพืชนั้น หาได้ยากยิ่งจำเป็นต้องเติมปุ๋ยเพื่อเพิ่ม 13 ธาตุลงไปในดินให้เป็นไปตามความต้องการทุกประการ  ทำให้พืชโตเร็ว ต้นสมบูรณ์ ดอกผลที่ได้มีคุณภาพดี

เป้าหมายในการใส่ปุ๋ย  มีดังนี้
     1.  เพื่อให้ได้มาซึ่งต้นพืชที่มีคุณภาพพุ่มต้น สวยกะทัดรัด
          แตกกิ่งก้าน สาขามากใบมีสีเขียวสดใส   มีระบบรากแข็งแรง    และมั่นคงดอกดกสีสวย
     2.  ใช้เวลาในการผลิตสั้นลง
          ปุ๋ยที่พอเหมาะพอควรกับไม้ดอก จะทำให้ทุ่น เวลาในการผลิตคือ ดอกบานเร็วขึ้น ซึ่งทุ่นเวลา ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ

     2.1.2.1  ธาตุอาหารพืช   ในดิน 13 ชนิด จัดแบ่งเป็น  3 กลุ่มคือ
          1. ธาตุอาหารหลัก พืชต้องการในปริมาณมาก  บทบาทของธาตุเหล่านี้มีดังนี้
            ธาตุไนโตรเจน  ปกติมีอยู่ในอากาศในรูปก๊าซจำนวนมาก แต่พืชนำมาใช้  ประโยชน์ไม่ได้ ยกเว้นพืชตระกูลถั่วเท่านั้น
               - ต้องอยู่ในรูปของอนุมูลสารประกอบ เช่น แอมโมเนียมไอออน (NH+) และไนเตรด (NO) ซึ่งมาจากการสลายตัวของสารอินทรีย์วัตถุและฮิวมัสโดย จุลินทรีย์ในดินเป็นผู้ปลดปล่อยให้ นอกนั้นได้จากการใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ของดิน
               - N เป็นองค์ประกอบสำคัญอยู่ในสารประกอบต่างๆเช่น โปรตีน คลอโรฟิลด์  ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นสีเขียวของต้นพืชทำ หน้าที่จับพลังงานจาก แสงแดดในการสร้างอาหารของพืช
               - N สำคัญมากในการเสริมสร้างการเจริญเติบโต อย่างรวดเร็วของพืชดอกผลที่ออกมาจะมีคุณภาพดี  ถ้าได้รับ N มากเกินไปจะเกิดผลเสียคือทำให้ต้นพืชอวบน้ำ โรคและแมลงเข้ารบกวนได้ง่ายทำให้การบานของดอกช้าลง ก้านดอกอ่อน  ถ้าพืชขาด N จะแสดงอาการให้เห็นเด่นชัดทางใบที่อยู่ตอนล่างจะเหลือง  การเจริญเติบโตช้าลงถ้าขาด N มากๆ  และในช่วงเวลานานๆ อาจจะทำให้ใบพืชร่วงหล่น ต้นโกร๋น ออกดอกผลช้า
               - การใส่ปุ๋ย N อาจใส่ได้ทั้งเป็นปุ๋ยรองก้นหลุม หรือใส่เสริมภายหลัง
หรือละลายน้ำรดก็ได้* N ส่วนมากละลายน้ำได้ดี สามารถเคลื่อนที่เข้าหารากพืชได้ง่าย
            ธาตุฟอสฟอรัส
               - ฟอสฟอรัสในดินมาจาก การสลายตัวผุพังของแร่บางชนิดในดินการสลายตัวของอินทรีย์วัตถุและฮิวมัสในดินก็ปลดปล่อย P ออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชจากการใส่ปุ๋ยคอกลงในดิน
               - ธาตุ P ในดินจะเป็นประโยชน์ต่อต้นพืชได้ จะต้องอยู่ในรูปอนุมูลของสารประกอบของ P ในดินมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ละลายน้ำได้ยาก
               - P ทำปฏิกิริยากับเหล็กและอลูมินั่ม กลายเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้ยาก
               - การใส่ไม่ควรคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพราะจะทำให้ P ทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุต่างๆในดินเร็วยิ่งขึ้น
               - ควรใส่เป็นจุดหรือโรยเป็นแถบลึกลงไปในดินในบริเวณรากพืช
               - การเคลื่อนย้ายอนุมูลฟอสเฟตในดินช้ามากหรือแทบจะไม่เคลื่อนย้ายเลย ใส่ไว้ตรงไหนก็มักจะอยู่ตรงนั้น
               - ควรใส่รองก้นหลุม
               - ควรเติมปุ๋ยคอกลงในดินหรือส่วนผสมของดินปลูกไม้ดอกทุกครั้งประมาณ 1 ใน 4 หรือ 25 % ของเครื่องปลูก
               - พืชมักได้ P ไม่เพียงพอกับความต้องการเสมอ
               - ถ้าขาด P พืชจะมีต้นแคระแกรน ใบมีสีเขียวคล้ำ ใบล่างจะมีสีม่วงตามขอบใบ   รากพืชชะงักการเจริญเติบโต
               - ถ้าได้รับเพียงพอ ดินกล้าไม้ดอกจะมีระบบรากแข็งแรงแผ่กระจายในดินกว้างขวางสามารถดูดน้ำและธาตุอาหารได้ดี ทำให้ต้นสมบูรณ์การออกดอกดีมีคุณภาพ
               - การปลูกไม้ดอก จึงต้องมีการรองก้นหลุมปลูกหรือรองก้นกระถางด้วยปุ๋ยฟอสเฟตทุกครั้ง
            ธาตุโปแตสเซี่ยม  K ในดินที่พืชนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้  มีกำเนิดมาจากการสลายตัวของหินและแร่ในดินหลายชนิด
               - โปแตสเซี่ยมไอออน (K+)  เท่านั้นที่พืชดึงดูดเอาไปใช้ได้ ถ้า K ยังคงอยู่ในรูป  ของสารประกอบ ยังไม่แตกตัวออกมาเป็นอนุมูล พืชก็ยังดึงดูดไปใช้ไม่ได้ อนุมูลโปแตสเซี่ยมในดินอาจจะอยู่ในน้ำในดินหรือถูกดูดยึดอยู่ที่ผิวของอนุภาคดินเหนียวก็ได้ ส่วนใหญ่ถูกดูดยึดอยู่ที่อนุภาคดินเหนียว
               - ดินทราย จะสูญเสียของอนุมูลโปแตสเซี่ยมได้ง่ายและเร็ว
               - แต่รากพืชสามารถดึงดูด K  ไปใช้ได้ง่ายๆ
               - การคลุกเคล้าให้เข้ากับดินก่อนปลูกและใส่ตามภายหลังก็ได้
               - ถ้าจะให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรใส่เป็นจุดหรือเป็นแถบลึกใต้ผิวดินในบริเวณรากพืช แต่อย่าให้ใกล้รากพืชเกินไป เพราะจะทำให้ยอดและใบเหี่ยวได้
               - K มีบทบาทในการสร้างอาหารและการเคลื่อนย้ายอาหารพวกแป้งและน้ำตาล ไปเลี้ยงส่วนที่กำลังเจริญเติบโต ตลอดจนส่งไปเก็บไว้ที่หัวและลำต้นพืชที่ขาด K มักเหี่ยวง่าย แคระแกร็น ใบตอนล่างเหลืองและเป็นรอยไหม้ตามขอบ
               - พืชที่ปลูกในดินทรายและเป็นกรดรุนแรงมักจะมีปัญหาขาดธาตุ K
          2.  ธาตุอาหารรอง ( Ca , Mg, S ) พืชต้องการในปริมาณมากเช่นเดียวกันพืชต้องการมากเช่นเดียวกัน แต่โดยปกติมักจะมีอยู่ในดินค่อนข้างมากพอเพียงกับความ  ต้องการของพืชทั่วไป และเมื่อเราใส่ปุ๋ยสำหรับธาตุกลุ่มแรก ธาตุกลุ่มสองนี้มักจะมีติดไปด้วยไม่มากก็น้อย เช่น ซุปเปอร์ฟอสเฟต ดังนั้นปัญหาที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดธาตุในกลุ่มนี้ จึงไม่ค่อยปรากฏ
               แคลเซี่ยม - จำเป็นต่อการเสริมสร้างผนังเซลล์ของต้นพืชอย่างมากส่วนมากเรามักเติมลงดินก่อนปลูก เพื่อแก้ความเป็นกรด
               แมกนีเซี่ยม - เป็นส่วนประกอบของคลอโรฟิลด์ ถ้าขาดใบจะเหลืองเป็นทางเป็นจุดบนใบ
               กำมะถัน  - เป็นส่วนประกอบของโปรตีนพืชใช้ในรูปของอนุมูลที่เรียกว่า ซัลเฟตไอออน
          3. ธาตุอาหารเสริม (แมงกานีส โบรอน โมลิบดินั่ม สังกะสี คลอรีน) พืชต้องการ
ในปริมาณน้อยมาก นิยมเรียกจุลธาตุ   ละลายน้ำรดภายหลังจากปลูก

     2.1.2.2 การใส่ปุ๋ยไม้ดอก
          - ควรจัดโปรแกรมของการใส่ปุ๋ยไว้ให้พร้อมตั้งแต่ก่อนจะเพาะเมล็ด
          - พิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าจะใส่ปุ๋ยชนิดใด
          - จะใส่แบบใดจึงเหมาะ

     2.1.2.3  ชนิดของปุ๋ย
       1. ปุ๋ยเดี่ยว คือปุ๋ยที่มีธาตุอาหารหลักเพียงธาตุเดียว  ได้แก่
          - โปแสตเซี่ยมไนเตรด  เป็นปุ๋ยที่มีโปแตสเซี่ยมไอออนและไนเตรดไอออน  ซึ่งพืชนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่เกิดปัญหาเรื่องเกลือ
          - โปแตสเซียมคลอไรด์   นั้นพืชไม่สามารถใช้คลอไรด์ไอออนได้จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องเกลือ
          - แคลเซี่ยมฟอสเฟต  ก็ทำให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน  ดังนั้นถ้าใส่ปุ๋ยเดี่ยวไม้ดอกแล้ว 
ควรเติมซูเปอร์ฟอสเฟตลงไปเป็นปุ๋ยรองพื้นก่อน  แล้วผสมแอมโมเนียมไนเตรด ( 33-0-0 ) และ โปแตสเซี่ยมไนเตรด ( 13-0-44 ) ในอัตรา 1 : 1
       2. ปุ๋ยผสมชนิดเม็ด ทางบริษัทผู้ผลิตปุ๋ยเดี่ยว มักจำทำปุ๋ยผสมชนิดเม็ดสูตรต่างๆขึ้น เช่น 15-30-15 หรือ16-16-16 หรือ 21-21-21  เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้ที่ไม่สะดวกที่จะใช้ปุ๋ยเดี่ยวหรือไม่ทราบว่าจะใช้ปุ๋ยเดี่ยวอะไรบ้างกับพืชบริษัทจึงทำเป็นปุ๋ยผสมชนิดเม็ด  และแนะนำไว้เลยว่าใช้สำหรับพืชอะไรบ้าง เช่น 15-31-15 และ 21-21-21 เหมาะสำหรับไม้ดอกทั่วๆไปแทบทุกชนิด
       3. ปุ๋ยผสมละลายน้ำ หมายถึงปุ๋ยผสมที่มี%การละลายน้ำสูงมาก ใช้ผสมน้ำรดไปบนต้นพืชตามโปรแกรมที่จัดไว้  อาจจะเป็นสัปดาห์ละครั้งหรือบ่อยกว่านั้น
       4. ปุ๋ยละลายช้า  ส่วนมากจะค่อยๆ ละลายแร่ธาตุอาหารของพืชออกมาทีละน้อยๆและหมดขึ้นไปภาย 3-4 เดือน หรือนานกว่านี้ใส่ผสมลงไปในดินผสมหลังจากการอบฆ่าเชื้อโรคในดิน  อัตราการใส่ปุ๋ยชนิดนี้จึงสูงกว่าปุ๋ยละลายน้ำ  มีชื่อทางการค้าหลายอย่างเช่น  ออสโมโคต  (Osmocote)  และแม็ค-แอมป์ ( Mag Amp )

     2.1.2.4 วิธีการใส่ปุ๋ย ( ความยาว 39.5 วินาที )

Content on this page requires a newer version of Adobe Flash Player.

Get Adobe Flash player
          1. ปุ๋ยรองพื้นหรือรองก้นหลุม เป็นการผสมปุ๋ยลงไปในดินปลูกก่อนที่จะใช้ปลูกไม้ดอกการใช้ปุ๋ยวิธีนี้แนะนำให้ใช้กับปูนและปุ๋ยซูปเปอร์ฟอสเฟตหรือปุ๋ยผสมชนิดที่มีเรโชต่ำเท่านั้น เช่น 5-10-5 , 14-14-14
          2. ใส่ลงบนผิวดิน เป็นการใส่ปุ๋ยเม็ดแบบแห้งลงบนผัวดินโดยการกลบปุ๋ยเหล่านั้นด้วยดินปลูกหรืออาจจะฝังปุ๋ยลงไปใต้ผิวดินตื้นๆ เวลารดน้ำๆจะละลายธาตุอาหารลงไปในบริเวณล่างซึ่งเป็นระดับรากพืช
          3. การฉีดพ่นลงบนใบ เพื่อที่จะให้ผ่านเข้าทางปากใบ ส่วนมากมักจะใช้กับธาตุอาหารบางชนิด ที่ใส่ลงไปในดินแล้วเกิดปัญหา เพราะถูกไอออนของดินดูดเอาไว้ พืชไม่สามารถนำไปใช้ได้ เช่นธาตุเหล็กเป็นต้น จึงจำเป็นจะต้องให้ทางใบ ซึ่งปุ๋ยที่ขายในท้องตลาดจะระบุไว้เลยว่าเป็นปุ๋ยให้ทางใบ และส่วนมากมักจะมี เปอร์เซ็นต์การละลายน้ำสูงมาก ไม้ดอกที่เป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน เช่น ดาวเรือง พีทูเนีย กล็อกซิเนีย อัฟริกันไวโอเล็ต และอื่นๆจะตอบสนองต่อปุ๋ยชนิดนี้ดีมาก ไม้ดอกเหล่านี้จะโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับการให้ปุ๋ยทางดินอย่างเดียว
          4. การให้ปุ๋ยในรูปสารละลาย โดยละลายปุ๋ยกับน้ำแล้วรดไปบนต้น หรือบนดินปลูกการปลูกไม้ดอกเป็นการค้าในยุโรป  และอเมริกานิยมให้ปุ๋ยแบบนี้มากเพราะสามารถให้ไปพร้อมๆกับการให้น้ำ ทำให้ประหยัดแรงงาน และพืชสามารถใช้ปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พืชได้รับปุ๋ยสม่ำเสมอทุกต้น แต่ค่าติดตั้งระบบการให้น้ำและปุ๋ยแบบนี้ค่อนข้างสูง

2.1.3 สารควบคุมการเจริญเติบโต
          สารควบคุมการเจริญเติบโต หมายถึงสารพวกอินทรีย์ ที่ไม่ใช่ธาตุอาหาร และในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถเสริมสร้าง  ยับยั้งหรือเปลี่ยนแปลงขบวนการทางสรีระวิทยาบางอย่างของพืชได้
          1. สารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ  หรืออาจจะเรียกว่าฮอร์โมนพืช  ได้แก่สารที่พืชสร้างขึ้นได้เองในปริมาณน้อย  สารเหล่านี้สามารถเคลื่อนย้ายจากเนื้อเยื่อที่สังเคราะห์นั้น  ไปมีผลในทางควบคุมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่ออื่นในภายในต้นได้
          2. สารที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น  คือสารเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้นมา  เมื่อนำเอาสารเหล่านี้ไปใช้กับพืช  พืชจะตอบสนองต่อสารนี้ เหมือนกับที่พืชได้รับจากสารที่ตามธรรมชาติ

2.1.3.1  กลุ่มของสารควบคุมการเจริญเติบโตที่เกี่ยวข้องกับไม้ดอก
     1. สารเร่งการเจริญ ได้แก่
          ออกซิน (auxins) เป็นสารกระตุ้น การเจริญเติบโตของพืช  ทำให้เกิดการแบ่งตัวและยืดของเซลล์  ในส่วนที่เป็นต้นของพืช  ออกซินบางตัวเกิดขึ้นเองในส่วนที่เป็นลำต้นของพืช ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้
               - ทำให้เกิดการแบ่งตัวและยืดตัวของเซล
               - ช่วยในการติดผล , ช่วยกระตุ้นการเกิดราก
               - ยับยั้งการเกิด abscission  layer
               - ยับยั้งการเจริญของตาข้างในวงการไม้ดอกใช้ในการปักชำ ใช้ในการยับยั้งการเจริญของตาข้างในไม้ดอกเช่น เบญจมาศ
          จิบเบอเรลิน (gibberellin) สารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติทุกตัวที่มี gibberellin อยู่ในโครงสร้างและมีคุณสมบัติในทางกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชได้นั้น เรียกรวมว่า จิบเบเรลิน ซึ่งมีคุณสมบัติหลายประการคือ
               - ในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช 
               - ทำให้ไม้ดอกพันธุ์แคระมีต้นสูงขึ้น
               - ทำให้การพักตัวของไม้ดอกบางชนิดสิ้นสุดลง
               - ทำให้ไม้ดอกที่ต้องการวันยาวสามารถออกดอกในสภาพวันสั้นได้
               - ช่วยเร่งการบานของดอกให้เร็วขึ้น
     2. สารชะลอการเจริญเติบโต ทำให้ไม้ดอกเตี้ยลงแต่มีการเจริญเติบโต ความสมบูรณ์ของต้นและดอกขนาดและคุณภาพทุกประการ นิยมใช้ในไม้ดอกชนิดต้นสูง ดอกใหญ่เพื่อช่วยให้ไม้ดอกนั้นๆมีพุ่มต้นแจ้ถ้าใช้กับไม้เนื้อแข็งนอกจากจะทำให้การเจริญเติบโตช้าลงแล้วยังช่วยกระตุ้นให้เกิดตาดอกเร็วขึ้นด้วย ได้แก่สาร มาลีอิด ไฮดราไซด์ , Amo, ฟอสฟอน, ไซโคเซล, บีไนน์, เอเรสท์ใช้พ่นทางใบหรือลดบนดินตามวิธีการใช้ที่กำหนดไว้

2.1.4 แสงสว่าง
          มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของต้นพืช นับตั้งแต่การงอก การสังเคราะห์แสง การสร้างฮอร์โมนในพืช การสร้างเม็ดสี ตลอดจนการออกดอกออกผลและอื่นๆที่มาของแสงสว่างอาจจำแนกได้ 2 ทาง คือ
               -  แสงจากดวงอาทิตย์
               -  แสงที่มนุษย์สร้างขึ้น
          แสงสว่างทั้ง 2 ชนิดซึ่งมีความแตกต่างกัน ในเรื่องความเข้มข้นของแสง ช่วงแสง และคุณภาพ ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้ย่อมมีอิทธิพลหรือมีบทบาทต่อต้นพืชแตกต่างกันไปดังจะได้อธิบายต่อไปนี้
     2.1.4.1 ความเข้มของแสง
          สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือวัดแสงที่มีขายอยู่ทั่วไปความเข้มข้นของแสงแตกต่างกันไปตามฤดูกาลต่างๆในรอบปีเช่นแสงในฤดูร้อนและหนาวจะมีความเข้มข้นมากกว่าแสงในฤดูฝนในที่ๆแสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงหรือส่องถึง แต่มีปริมาณความเข้มข้นของแสงไม่พอต่อ-ความต้องการของพืชหลอดไฟธรรมดาและหลอดไฟเรืองแสงจะช่วยให้แสงสว่างแทนแสงอาทิตย์ได้
          - หลอดไฟธรรมดา ให้ทั้งแสงสว่างและความร้อน ซึ่งความร้อนที่มากเกินไปอาจจะเป็นอันตรายต่อต้นพืชได้ จึงควรติดตั้งดวงไฟให้สูงจากต้นพืชพอสมควร นอกจากนี้อาจทำให้พืชบางชนิด มีลักษณะเก้งก้าง ผิดปกติไปบ้าง
          - หลอดเรืองแสง ใช้แทนแสงอาทิตย์ได้ดีกว่าหลอดไฟธรรมดา ผู้ปลูกไม้ดอกนิยมใช้หลอดเรืองแสงแทนในการปลูกไม้ดอกภายในบ้านเรือนบางชนิด เช่น กล็อกซิเนีย อัฟริกันไวโอเล็ต  อิปิเซีย  ตลอดจนไม้ดอกบางชนิดซึ่งมีความต้องการความเข้มข้นของแสงไม่มากนัก
     2.1.4.2 ช่วงความยาวของแสง
          มีผลต่อการเจริญเติบโตและการออกดอกมาก ไม้ดอกบางชนิดต้องการ ช่วงแสงในเวลากลางวันสั้นจึงจะเกิดดอก เช่น เบญจมาศ ต้องการแสงในเวลากลางวัน ไม่เกิน 13 ชม.ครึ่ง ถ้าแสงเกินจะไม่ออกดอก
          - การทำให้เกิดวัน วิธีที่นิยมคือใช้ผ้าซาตินอย่างหนา สีดำ ขนาด 64  X 104 mesh  คลุมแปลงปลูกในลักษณะเหมือนกางมุ้ง โดยเริ่มคลุมผ้าดำตั้งแต่ 5 โมงเย็น เปิดผ้าดำ 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ช่วงแสงไม่เกน 9 ชม. เป็นการบังคับให้เบญจมาศออกดอก การคลุมผ้าดำอาจทำติดต่อกันไม่ได้ตลอด 7 วัน  ในหนึ่งสัปดาห์  อาจจะหยุดคลุมได้บ้าง
          - การทำให้เกิดวันยาว ส่วนมากใช้หลอดเรืองแสง  หรือหลอดไฟธรรมดา  ถ้าเป็นหลอดธรรมดา 60 แรงเทียน ควรติดสูงจากต้นพืชประมาณ 2 ฟุต ระยะห่างระหว่างดวงไฟ 4 ฟุต ถ้าเป็นหลอดไฟ  100  แรงเทียน ควรติดเหนือต้นพืช 3 ฟุต ระยะห่างดวงไฟ 6 ฟุต

     2.1.4.3 คุณภาพของแสง 
          คุณภาพของคลื่นแสงมีผลต่อต้นพืชแตกต่างกันไปตามแหล่งของแสง เช่น แสงจากหลอด incandescent มีคลื่นแสงสีแดงมากกว่า และให้ความร้อนมากกว่าหลอด fluorescent แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านกระจกส่วนที่เป็นแสง ultraviolet จะไม่สามารถผ่านออกมาได้ แต่แสงแดดผ่านได้สบาย

2.1.4.4  อิทธิพลโดยทั่วๆไปของแสงที่มีความเข้มข้นต่างๆกัน
          -  การสังเคราะห์แสง ถ้าความเข้มข้นของแสงมากขึ้นโดยปกติแล้ว จะทำให้พืชมีการสังเคราะห์แสงเพิ่มขึ้นด้วยจึงควรเพิ่มความเข้มข้นของแสงให้มากที่สุดเท่าที่ จะเป็นไปได้จะช่วยให้ไม้ดอกมีการสูงเคราะห์แสงเพิ่มขึ้นด้วยไม้ดอกแต่ละชนิดต้องการความเข้มข้นของแสงแตกต่างกันไป
          -  การใส่ปุ๋ย ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแสงอันเนื่องมาจาก photosynthesis นั่นเอง ถ้าแสงน้อยปุ๋ยที่ใส่ไปจะสูญเปล่า แต่ถ้าแสงมากการใส่ปุ๋ยบ่อยๆ จึงได้ประโยชน์มากกว่าในการสร้าง  amino , acid  และ protein แต่ถ้าความเข้มข้นของแสงมากเกินไป chlorophyll ถูกทำลายถ้า
          -  อาการใบไหม้ ใบของใบไม้บางชนิดจะแสดงอาการใบไหม้ กลีบดอกไหม้ เช่น ดอกไฮเเดนเยีย และดอกเจอแรนเนีย
          -  การคายน้ำมากเกินไป ทำให้พืชเหี่ยวและอาจเฉาตายในที่สุด
          -  ก้านดอกสั้น ไม่ยาวเท่าที่ควรเช่น กุหลาบ  เยอบีร่า คาร์เนชั่น และ แกล็นดิโอลัส การพรางแสงลงบ้าง จะช่วยให้ก้านดอกยาวขึ้น
          -  การโค้งงอของก้านดอก  เนื่องมาจากการแต่ละด้านได้รับแสงไม่เท่ากัน
          -  สีของดอกไม้บางชนิดซีดลงได้ เนื่องจากเม็ดสีของกลีบดอกถูกทำลาย  เช่นเบญจมาศสีต่างๆ นอกเหนือไปจากสีขาวและเหลือง

          เมื่อเป็นเช่นนี้จะเห็นได้ว่าความเข้มข้นของแสงมากไปหรือน้อยเกินไป ย่อมมีอิทธิพลต่อไม้ดอกมาก การจัดความเข้มข้นของแสงให้เป็นไปตามความต้องการของไม้ดอกแต่ละชนิด  ย่อมเป็นผลดีต่อผู้ปลูกและต้นไม้ดอกเอง
          การลดความเข้มข้นของแสง ด้วยการพรางแสงโดยใช้วัสดุต่างๆ ที่หาได้ง่ายและราคาถูก  เช่นขี้เลน  โคลนหรือปูน ทาด้านในของหลังคากระจก เป็นทางหนึ่งที่ช่วยได้มาก หรือจะพรางแสงเป็นการถาวรควรใช้สีผสมน้ำ 1 : 8 ถึง 10 พ่นไปบนกระจก ซึ่งล้างออกภายหลังได้ นอกจากนี้อาจใช้ผ้าและตาข่ายไนล่อน ซึ่งจะช่วยพรางแสงได้ประมาณ 10-15 %  ส่วนผ้า muslin สีต่างๆจะพรางแสงได้ประมาณ 50 % ซาแรนชนิดต่างๆ  จะพรางแสงได้มากน้อยต่างกัน  ตามความถี่ห่างของตา
          การเพิ่มความเข้มข้น  ในต่างประเทศในฤดูหนาว ความเข้มข้นของแสงจะเหลือเพียง 300-500 ฟุต-แคลเดิล  ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของไม้ดอกหลายชนิด ใช้วิธีเพิ่มความเข้มข้นของแสงโดยใช้แสงไฟฟ้าจากหลอดไฟเรืองแสงขนาด  40-75  วัตต์   ติดตั้งเหนือต้นพืชประมาณ  6-9  นิ้ว  แต่ถ้าเป็นการค้าเขาใช้หลอดไฟที่ทำขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

2.1.5  อุณหภูมิ
          เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช และคุณภาพของไม้ดอกตลอดจนปริมาณของดอกด้วย เช่นกุหลาบถ้าปลูกในที่ๆสามารถปรับอุณหภูมิกลางคืนประมาณ 60 องศาฟาเรนไฮต์   จะทำให้จำนวน ขนาด ความแข็งแรงของก้านและสีสันของดอกดีที่สุด  ถ้าอุณหภูมิกลางคืนสูงกว่านี้จำนวนดอกจะเพิ่มขึ้นขนาดดอกเล็กลง สีดอกจางลงและกลีบดอกบาง อีกทั้งก้านดอกอ่อนอีกด้วย ไม้ดอกอื่นๆก็เช่นเดียวกัน และอุณหภูมิที่พอเหมาะของไม้ดอกแต่ละชนิดย่อมแตกต่างกันออกไป
     2.1.5.1 อุณหภูมิกลางคืนและกลางวัน
          ส่วนมากอุณหภูมิกลางคืนจะมีบทบาทต่อไม้ดอกมากกว่าอุณหภูมิกลางวัน โดยทั่วไปแล้วอุณหภูมิที่กล่าวถึงส่วนมากมักจะหมายถึงอุณหภูมิกลางคืนเป็นส่วนใหญ่
          บทบาทที่สำคัญที่สุดของอุณหภูมิกลางคืน  คือกระตุ้นให้เกิดตาดอกของไม้ดอกบางชนิด   ส่วนอุณหภูมิกลางวันนั้นไม่จำเป็นมากนัก 
          แต่ถ้าจะให้ดีแล้ว ถ้าสามารถปรับอุณหภูมิได้ควรจะปรับอุณหภูมิกลางวันสูงกว่าอุณหภูมิกลางคืนประมาณ 5 – 15  องศาฟาเรนไฮต์
          อุณหภูมิเพิ่มขึ้นย่อมเป็นเหตุให้การหายใจของพืชมากขึ้น นั่นหมายถึงการใช้อาหารของพืชมากขึ้นทำให้การเจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร
          การลดอุณหภูมิกลางคืนในช่วงท้ายๆ ของการผลิตไม้ดอก (ก่อนเก็บเกี่ยวเพื่อส่ง ตลาด) จะช่วยให้สีของดอกเข้มและสดใส และทำให้กลีบดอกหนาขึ้นอีกด้วย
          อุณหภูมิในดิน มีผลต่อการดูดน้ำและอาหารมาก ถ้าอุณหภูมิในดินต่ำจะทำให้ขบวนการ absorption ลดลง ต้นพืชจะเหี่ยว นอกจากนั้นแล้วการเจริญของจุลินทรีย์จะลดลงด้วย เป็นผลให้อินทรีย์วัตถุในดินสลายตัวช้าลง ส่วนในฤดูร้อนอุณหภูมิของดินที่สูงเกินไปก็เป็นอันตรายได้เช่นกัน จึงต้องลดอุณหภูมิในดินลงโดยการคลุมฟางข้าว เปลือกถั่ว และแกลบเป็นต้น
          การเกิดตาดอกของไม้ดอกต้องการอุณหภูมิต่างกันจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิในตอนกลางคืน  มีบทบาทต่อการเจริญเติบโต ตลอดจนการบานของไม้ดอก อีกทั้งคุณภาพของไม้ดอก ซึ่งอุณหภูมิกลางคืนควรจะเย็นพอสมควร จึงจะปลูกไม้ดอกได้ผลดีจะสังเกตได้ว่าการปลูกไม้ดอกส่วนใหญ่ จะปลูกได้ดีที่สุดในฤดูหนาวโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร

2.1.6 น้ำและการให้น้ำ
     2.1.6.1 ความสำคัญของน้ำ มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต การเจริญเติบโตของไม้ดอกมาก เช่น
          1. ช่วยละลายเกลือแร่ต่างๆในดิน ให้อยู่ในรูปสารละลายที่รากพืชดูดเอาไปใช้ได้
          2. เป็นวัตถุดิบให้พืชปรุงอาหารได้

แสงสว่าง
( 6 CO2 + 6 H2O -------------------------> C6H12O6 + 6O2 )
คลอโรฟิลล์

          3. ทำให้เซลต่างๆที่อยู่ภายในเซลพืชแต่ง
          4. ลดความร้อนให้แก่ต้นพืช โดยที่พืชจะคายน้ำ
          5. เป็นตัวช่วยเอาอาหารที่ปรุงแล้วไปเลี้ยงส่วนต่างๆของพืชได้

     2.1.6.2 เวลาในการรดน้ำ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยซึ่งควรพิจารณา
          1. สำหรับกระบะหรือแปลงเพาะเมล็ด  ดินหรือส่วนผสมที่ใช้สำหรับเพาะจะต้องมีความชื้น สม่ำเสมอตลอดเวลาในการงอก อย่าปล่อยให้ดินที่ใช้เพาะแห้งเป็นอันขาด เพราะจะทำให้การงอกของเมล็ดไม่สม่ำเสมอ หรืออาจล้มเหลวเลยก็ได้
          2. สำหรับกิ่งปักชำ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการออกรากของกิ่งปักชำ อย่าปล่อยให้กิ่งปักชำแห้ง โดยเฉาะกิ่งอ่อนที่มีใบติดอยู่ด้วยแห้งหรือเหี่ยวแม้แต่ชั่วขณะ
          3. ต้นกล้าหรือกิ่งปักชำที่ย้ายปลูกใหม่ จะต้องรดน้ำตามทันที และพยายามรักษาความชื้นในดินให้ชื้นอยู่เสมอ
          4. สำหรับไม้ที่ปลูกในกระถาง อย่าปล่อยให้ดินแห้งจนหดตัว เพราะจะทำให้การให้น้ำไม่ได้ผล น้ำจะไหลหนีทางรูก้นกระถาง และควรใช้อินทรีย์วัตถุผสมดินมากๆ เพื่อช่วยในการอุ้มน้ำได้ดีขึ้น  การให้น้ำแต่ละครั้งควรจะให้จนดินเปียกโชกโดยตลอดทั้งกระถาง
          5. ไม้ดอกต่างชนิดในส่วนผสมของดินต่างกัน ย่อมมีเวลาในการรดน้ำแตกต่างกันออกไป  ผู้ปลูกจะต้องเรียนรู้ความต้องการของไม้ดอกที่ปลูกด้วยตัวเอง ในระยะแรกของการปลูกไม้ดอกชนิดนั้นๆ ภายหลังจะทราบได้เองว่าควรจะรดน้ำวันละกี่ครั้ง>
          6. ปริมาณน้ำที่ใช้รด การรดน้ำไม้ดอกหรือพืชใดก็ตาม ต้องรดในปริมาณที่พอดีให้มีเหลืออยู่ใน
ช่องว่างของดิน พืชจึงจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้พอที่จะให้มีเหลืออยู่ในและถ้าจะให้ดี
ยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้มีการสะสมของเกลือเกิดขึ้นในดินจนเป็นอันตรายต่อรากพืช ควรจะได้รดน้ำให้ดินเปียกโดยตลอด และมีเหลือพอที่จะระบายออกทางก้นกระถาง
          7. คุณภาพของน้ำ การพิจารณาคุณภาพของน้ำ นอกจากความสะอาดแล้วน้ำควรมีค่า pH  ประมาณประมาณ 6-7 และมีปริมาณเกลือแร่ต่ำ

     2.1.6.3 วิธีการรดน้ำ ( ความยาว 37.2 วินาที )

Content on this page requires a newer version of Adobe Flash Player.

Get Adobe Flash player


     1. การราดน้ำลงไปบนต้นพืช ไม่นิยมสำหรับไม้ดอก เพราะจะทำให้เกิดโรคได้ง่ายการแพร่กระจายเป็นไปอย่างรวดเร็ว ใบและดอกสกปรก และยังทำให้ดินแน่นเร็วกว่าที่ควรจะเป็น   การรดแบบนี้ทำได้หลายวิธีเช่น
          - ใช้บัวรดน้ำ  แครงสาดน้ำ   หรือสมัยนี้ใช้เรือลากจูงเครื่องพ่นน้ำไปตามคู  มีท่อฉีดรดสองข้างแปลง  นิยมกันที่บางกรวย  ตลิ่งชัน
          - การวางท่อไปตามความยาวของแปลงพืช  ในต่างประเทศนิยมใช้กับไม้ดอก  แต่ละท่อมีหัวฉีดติดอยู่ข้างท่อเป็นระยะๆทั้ง 2 ข้างข้อสำคัญของการให้น้ำมีแบบนี้คือน้ำต้องมีแรงดันพอควร  มีประตูน้ำ 1 ตัว ตรงหัวแปลงเมื่อต้องการรดน้ำ เพียงแต่เปิดประตูเท่านั้น หัวฉีดจะฉีดน้ำพร้อมๆกัน ในแนวนอน น้ำจะเปียกเฉพาะผิวดินเลยไปถึงโคนต้นและใบล่างๆของต้นไม้ดอกนิดหน่อยไม่ถึงกับเปียกโชกทั้งต้น
     2. การให้น้ำซึมจากด้านล่างขึ้นมา  อาจจะใช้  vick  เป็นแบบไส้ตะเกียงในการดูดซึมน้ำขึ้นมา  หรือใช้วัสดุอื่น เช่นทรายปูบนพื้นหนาประมาณ 3-4 นิ้ว เพื่อเก็บกักน้ำและวางกระถางปลูกต้นไม้ลงบนทรายน้ำจะดูดซึมผ่านทางก้นกระถางขึ้นไป แต่ขณะนี้มีวัสดุสังเคราะห์ เรียกว่า  mat irrigation  โดยใช้  mat ดังกล่าวนี้ปูบนร้านปลูกไม้ดอก วางกระถางที่ปลูกเสร็จแล้วลงบน  mat  แทนการรดน้ำไปบนกระถาง จะรดไปบน  mat แทน น้ำจะดูดซึมขึ้นไป แต่ที่สำคัญที่สุดคือดินผสมที่ใช้ปลูกไม้ดอกนั้นต้องมีส่วนผสมของอินทรีย์วัตถุมากๆเพื่อช่วยในการดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น

2.1.7  ปัญหา
          เมื่อไม้ดอกมีอาการผิดปกติ  มีอาการเหี่ยวเฉาของต้น  ยอดและใบเหลือง  ขอบใบไหม้ ต้นไม้แคระแกรน ไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ควรพิจารณาถึงสาเหตุ โดยตรวจตราลักษณะอาการที่พืชแสดงออกให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ซึ่งอาจมีสาเหตุหลายๆประการควรพิจารณาสิ่งต่างๆเหล่านี้เสียก่อนคือ
     2.1.7.1 ดินที่ใช้ปลูก
          -  ตรวจสอบความอุดมสมบูรณ์ ?
          -  อินทรีย์วัตถุเพียงพอไหม  ?
          -  มีธาตุอาหารของพืชเพียงพอหรือไม่
          -  การใส่ปุ๋ยเพิ่มอัตรา ? ถูกวิธี ?
          -  ดินเป็นกรดด่างจัดระดับใด  พืชชอบหรือไม่ ?
     2.1.7.2 ความชื้นในดิน
          -  มากเกินไปดินขาดออกซิเจน ใบจะค่อยๆเหลืองต้นเหี่ยว
          -  ดินแห้งแตกระแหงขาดน้ำติดต่อกันเป็นระยะนานๆต้นไม้จะเหี่ยว
          -  การรดน้ำต้องให้น้ำซึมถึงบริเวณรากพืชไม่ใช่เปียกบนผิวดินเท่นั้น
          -  ปริมาณน้ำในดินควรจะพอเพียงและพอเหมาะกับความต้องการของพืช
     2.1.7.3 แสงแดด จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตมาก  พืชบางชนิดต้องการแสงยาวนานในช่วงเวลากลางวัน
          - ไม้ดอกส่วนใหญ่ต้องการแสงแดดจัดและนานติดต่อกัน ไม่ต่ำกว่า 6 ชม. มิฉะนั้นจะเฝือใบและดอกน้อย
          - บางชนิดแสงแดดจัดไปก็ต้องพรางแสงเพราะอาจทำให้กลีบดอกไหม้หรือสีซีด
     2.1.7.4 อุณหภูมิและอากาศ เหมาะกับพืชที่ปลูกหรือไม่ไม้ดอกบางชนิดต้องการอากาศหนาวเย็น
     2.1.7.5 ลม ไม้ดอกใบกว้างมักได้รับอันตรายจากลมแรงมากๆ อาจทำให้เหี่ยวเฉาการระเหยน้ำทางใบมากเกินไป ต้นโยก รากคอนแคลน
     2.1.7.6 สารเคมี ได้แก่ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อโรค ตลอดจนยาฆ่าวัชพืชทั้งหลายถ้าใช้เกินอัตราที่กำหนดไว้จะเกิดอันตราย แก่ใบและต้นของพืชได้ และไม่ควรฉีดพ่นในขณะที่อุณหภูมิสูงเกิน 85  องศาฟาเรนไฮต์  เพราะจะเป็นอันตรายคือใบไหม้ได้ 
     2.1.7.7 แมลง มีหลายชนิด ทั้งที่เห็นและไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำอันตรายพืช โดยกัดกินใบ กัดโคนต้นกล้าดูดน้ำเลี้ยงใบและดอก การป้องกันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก โดยศึกษาวิถึงชนิดของแมลง วิธีการทำลาย ตลอดจนอุปนิสัยวงจรชีวิต และจุดอ่อนต่างๆของแมลงให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน จึงสามารถหาทางทำลายที่ถูกวิธีและได้ผลดีที่สุดโดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงเลยก็ได้
     2.1.7.8 โรคพืช  มักเกิดขึ้นกับต้นไม้ทุกชนิด สาเหตุมีหลายอย่าง อาจเกิดจากตัวเชื้อโรคเองหรือเกิดจากพาหะต่างๆ  บางครั้งเกิดจากภาวะอากาศวิปริตหรือแปรปรวน  โรคที่ปรากฏอาการให้เห็นมักไม่เป็นอันตรายนัก เพราะมักแก้ไขได้ทันท่วงที โรคบางชนิดเกิดขึ้นกับพืชแล้ว ต้นไม้ไม่แสดงอาการให้เห็น หรือบางทีโรคเข้าทำลายภายในส่วนต่างๆของพืชที่เรา ไม่สามารถมองเห็นซึ่งกว่าจะรู้ก็เกินป้องกัน ฉะนั้นการป้องกันโรคเหล่านี้ ควรจะมีโปรแกรมฉีดพ่นสารเคมีไว้ล่วงหน้า มากกว่าที่จะรักษาเมื่อเกิดโรคขึ้นแล้ว  โดยเฉพาะกับไม้ดอก จึงควรมีโปรแกรมการฉีดพ่นยากันราล่วงหน้าเสมอ และอาจจะต้องฉีดพ่นในช่วงถี่เป็นพิเศษถ้าอยู่ในฤดูกาลที่โรคนั้นกำลังระบาด

Free Web Hosting