หน่วยที่ 3
การขยายพันธุ์ไม้ประดับ
การขยายพันธุ์พืช ( Plant Propagation ) หมายถึง การเพิ่มจำนวนต้นพืชให้มีปริมาณมากขึ้น โดยคงไว้ซึ่งคุณสมบัติ และคุณภาพของผลผลิตดีเท่าเดิม หรือดีขึ้นกว่าเดิม
ความสำคัญของการขยายพันธุ์พืช
การขยายพันธุ์พืช นอกจากจะเป็นวิธีการที่ใช้เพิ่มจำนวนต้นพืชทุกชนิดแล้ว ยังรวมไปถึงการควบคุมการผลิตต้นพืชที่มีลักษณะดีให้คงพันธุ์ดี ( Perpetuate ) อย่างเดิมอีกด้วย ดังนั้นการขยายพันธุ์พืช จึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญยิ่งสำหรับการประกอบอาชีพกสิกรรมของกสิกรทั่วไป ตลอดจนบุคคลในสาขาอาชีพอื่น ๆ ที่สนใจการปลูกพืชเป็นอาชีพรองหรือเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ด้วยการหาความสุข ความเพลิดเพลินกับการพืชผักสวนครัว ไม้ประดับ เพื่อตกแต่งอาคารบ้านเรือน
การขยายพันธุ์พืชมีความสำคัญต่อการปลูกพืชทุกชนิด ทุกประเภท ทั้งพืชไร่ และพืชสวน รวมไปถึงการปรับปรุงพันธุ์และการซ่อมแซมต้นพืชด้วย
การขยายพันธุ์พืชแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การขยายพันธุ์พืชโดยอาศัยเพศ คือ การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด
2. การขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ คือ การขยายพันธุ์โดยใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชมาใช้ แบ่งออกเป็น 6 วิธี ได้แก่ การตัดชำ การตอนกิ่ง การติดตาต่อกิ่งการแบ่งและการแยก ส่วนของพืชที่ขยายพันธุ์ได้ตามธรรมชาติ การขยายพันธุ์ โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
3.1 การขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศ
การขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศ หมายถึง การขยายพันธุ์ที่เกิดจาการผสมเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียและเกิดเมล็ดขึ้น เช่น โกสน บอนสี หมากผู้หมากเมีย ปาล์ม ฯลฯ
3.1.1 การเพาะเมล็ด
การเพาะเมล็ดเป็นการทำให้เมล็ดงอกเป็นต้นกล้าการที่เมล็ดจะงอกได้นั้นจะต้องมีน้ำและอากาศผ่านเข้าไปในเมล็ดได้ เมล็ดพ้นระยะการพักตัวนอกจากนี้เมล็ด-พืชบางชนิดยังต้องการแสงในการงอก บางชนิดถ้าได้รับแสงจะไม่งอกแต่ส่วนมากแสงจะไม่มีผลต่อการงอกเท่าใดนัก การขยายพันธุ์พืชวิธีนี้มีความสำคัญต่อการผลิตไม้ประดับล้มลุกและไม้ประดับยืนต้นบางชนิด โดยเฉพาะเมื่อต้องการลูกผสมพันธุ์ใหม่ เช่น โกสน บอนสี และหมากผู้หมากเมีย และเมื่อต้องการต้นพืช ในปริมาณมาก ๆ หรือให้ต้นใหม่มีรูปทรงสวยงามเหมือนธรรมชาติ เช่น ไทร ไม้ประดับตระกูลปาล์ม
3.1.1.1 คุณสมบัติของเมล็ดพันธุ์ที่ดี
1. ปราศจากโรคและแมลงเข้าทำลาย
2. สะอาด ปราศจากสิ่งเจือปนต่างๆ เช่น หิน กรวด ทราย
3. มีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูงและให้ต้นกล้าที่สมบูรณ์แข็งแรง
4. เมื่อนำไปปลูกแล้วได้ผลผลิตตรงตามพันธุ์เดิมไม่กลายพันธุ์
3.1.1.2 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องการงอกของเมล็ด
1. ความชื้นหรือน้ำ ช่วยทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดอ่อนตัว เมล็ดสามารถงอกออกมาเป็นต้นกล้าได้
2. อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นตัวกระตุ้นให้เมล็ดดูดน้ำเข้าไปในเมล็ด มากขึ้นพืชเมืองร้อนและพืชเมืองหนาวต้องการอุณหภูมิในการงอกไม่เท่ากัน
3. แสงสว่าง มีความจำเป็นต่อการงอกของเมล็ดพืชบางชนิดเพราะบางชนิดสามารถงอกได้โดยไม่มีแสงสว่าง
4. ความสมบูรณ์ของเมล็ด เมล็ดพืชที่จะงอกงามหรือไม่นั้น ความสมบูรณ์ของเมล็ดเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง และเมล็ดจะต้องผ่านระยะพักตัวแล้ว
3.1.1.3 ระยะพักตัวของเมล็ด หรือ Seed Dormancy
ระยะพักตัวของเมล็ด หมายถึง การที่เมล็ดพืชไม่สามารถจะงอกได้ แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมซึ่งเมล็ดนั้นยังมีความสามารถในการงอกอยู่
การฟักตัวของเมล็ดอาจมีสาเหตุมาจากสภาพภายในเมล็ดถ้าเมล็ดอยู่ในระยะฟักตัวก็ต้องใช้เทคนิคพิเศษช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น เช่น การถู ฝน เจาะรู หรือกะเทาะเปลือกนอกออก การแช่น้ำ การลวกน้ำร้อน และการแช่เมล็ดในสารเคมีกรดด่างหลังจากนั้นจึงนำมาเพาะด้วยวิธีธรรมดา
ส่วนไม้ประดับตระกูลปาล์ม เช่น หมากแดง หมากนวล หมากเหลือง จั๋ง เมล็ดมักมีการฟักตัวอยู่ระยะหนึ่งเพื่อรอให้ใบเลี้ยงที่เรียกว่า จาว เจริญขึ้นมาก่อนจึงจะงอกได้ ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 1 เดือน หากนำเมล็ดที่สุกแก่มาเพาะทันทีมักไม่ได้ผล จึงนิยมทำลายระยะฟักตัวด้วยการนำไปกองสลับกับทรายชื้นเป็นชั้นๆไว้ระยะหนึ่ง จากนั้นจึงนำไปเพาะแบบธรรมดา หรืออาจใช้กาบมะพร้าวชุบน้ำให้อิ่มตัว แล้วทุบให้แบนเป็นแผ่นวางบนถุงพลาสติก แล้ววางเมล็ดปาล์มลงบนกาบมะพร้าวทิ้งไว้ประมาณ 2 อาทิตย์ ต้นอ่อนจะโผล่ออกมานอกเมล็ด จึงค่อยนำไปเพาะในกระบะเพาะต่อไป
3.1.1.4 ดินหรือวัสดุที่ใช้ในการเพาะเมล็ด
ดินหรือวัสดุเพาะควรโปร่ง ระบายน้ำได้ดี เก็บความชื้นได้ดี ไม่เป็นกรดหรือด่างจนเกินไป อาจใช้ทรายผสมขุยมะพร้าว ถ่านแกลบ หรือปุ๋ยคอก หรือจะใช้ดินร่วนทั่วไปก็ได้ ถ้าเป็นเมล็ดไม้ประดับที่มีขนาดเล็กมักใช้ดิน 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ยคอกเก่าๆ 1 ส่วน และขี้เถ้าแกลบ 1ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันดี หรืออาจใช้ทราย 1 ส่วนผสมกับขุยมะพร้าว 1 ส่วนก็ใช้ได้ดีเช่นกัน
3.1.1.5 การเพาะเมล็ดก่อนการย้ายปลูก
เมื่อต้องการขยายพันธุ์พืชไว้ไม่ให้สูญพันธ์ ซึ่งนิยมใช้กับไม้ดอกไม้ประดับ ผักและไม้ผลบางชนิด โดยมีวิธีปฏิบัติ 2 ลักษณะ คือ
1. การเพาะเมล็ดในภาชนะ เช่น ถุงพลาสติก กระบะเพาะ กระถาง ตะกร้า หรือภาชนะอื่นๆวิธีนี้เหมาะสำหรับพืชที่มีเมล็ดขนาดเล็ก ราคาแพง การปฏิบัติดูแลรักษามาก การเพาะวิธีนี้สามารถเคลื่อนย้ายไปดูแลอย่างใกล้ชิดได้ วัสดุที่ใช้เพาะควรมีส่วนผสมระหว่างดินร่วน ขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักในอัตราส่วน 1 : 1 : 1 ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันและใส่ในภาชนะที่จะเพาะรดน้ำให้ชุ่ม แล้ววางเมล็ดบนวัสดุรดน้ำอีกครั้ง จากนั้นนำภาชนะเพาะไปวางในที่ที่มีแสง ดูแลให้ความชื้นสม่ำเสมอ
2. การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะ ขนาดของแปลงเพาะที่นิยมที่สุด คือ 1 - 5 เมตรโดยวัสดุที่ใช้เหมือนกับการเพาะในภาชนะวิธีนี้สามารถเพาะเมล็ดได้จำนวนมาก
3.1.1.6 วิธีการเพาะเมล็ด ( ความยาว 2.10 นาที )
3.2 การขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ
3.2.1 การขยายพันธุ์วิธีการชำ
การตัดชำ หมายถึงการตัดเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของกิ่งหรือลำต้น ทีมีตาข้างหรือตายอดไปปักชำ ในวัสดุที่มีสภาพเหมาะสม กิ่งหรือต้นพืชจะงอกรากออกมาและแตกยอดเป็นพืชต้นใหม่ได้ ซึ่งต้นพืชที่เกิดใหม่นี้จะมีลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ
ความนิยม นิยมใช้กับไม้ดอกประกับที่ เนื้อไม้อ่อน ออกรากง่ายโดยธรรมชาติ เช่นพุดซ้อน เบญจมาศ เข็มปัตตาเวีย มังกรคาบแก้ว กุหลาบหิน ฯลฯ
ข้อดีของการขยายพันธุ์โดยการตัดชำ
- เป็นวิธีการที่ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
- ประหยัดค่าใช้จ่าย
- ขยายพันธุ์ได้ในปริมาณมาก
- ได้พืชต้นใหม่ในระยะเวลาสั้น
- ทำได้ง่าย ไม่ต้องอาศัยเทคนิคหรือฝีมือมากนัก
- ไม่มีปัญหาเรื่องต้นตอหรือฝีมือมากนัก
- ได้พืชต้นใหม่ที่มีลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ
ข้อเสียของการตัดชำ
- กิ่งมีขนาดเล็ก
- ไม่มีรากแก้ว
วัสดุในการปักชำ เป็นตัวกลางควบคุมความชื้น อุณหภูมิ การระบายอากาศและยึดมิให้กิ่งหรือส่วนของพืชโค่นล้ม แต่มิได้เป็นแหล่งอาหารของพืช เพราะหลังจากพืชออกรากดีแล้ว จำเป็นต้องย้ายต้นหรือส่วนของพืชไปปลูกทันที
คุณสมบัติของวัสดุชำที่ดี
- ทนทานไม่ผุสลายไปได้ง่าย
- หาง่าย ราคาถูก
- ดูดความชื้นได้มากพอ
- ควรจะโปร่ง เพื่อการระบายน้ำดีและมีอากาศเพียงพอ
- ปราศจากเมล็ดวัชพืช โรคและแมลง
วัสดุที่ใช้เพาะ
- ทรายหยาบ (ก่อสร้าง) 1 ส่วน
- ขี้เถ้าแกลบเก่าค้างปี 1 ส่วน ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
1. วิธีการขยายพันธุ์โดยการตัดชำกิ่งแก่ ( ความยาว 2.09 นาที )
2. วิธีการตัดชำกิ่งกึ่งอ่อนกึ่งแก่ ( ความยาว 2.34 นาที )
3. การตัดชำกิ่งอ่อน ( ความยาว 1.40 นาที )
4. การย้ายกิ่งปักชำ ( ความยาว 1.09 นาที )
3.2.2 การขยายพันธุ์วิธีการตอน
การตอนหมายถึง การทำให้กิ่งพืชเกิดรากในขณะที่ยังติดอยู่กับต้นแม่ เมื่อกิ่งออกรากแล้ว จึงตัดไปชำก่อนปลูก เมื่อแข็งแรงดีแล้วจึงนำไปปลูกต่อไป
ข้อดีของการตอน
1. ต้นที่ได้จากกิ่งตอน ไม่มีการกลายพันธุ์
2. ให้ดอกและผลเร็วกว่ากิ่งชำ เนื่องจากกิ่งมีขนาดใหญ่กว่า
3. ให้รากมากกว่ากิ่งชำ
4. เมื่อนำไปปลูก มี % การตายน้อยกว่ากิ่งปักชำ
5. ใช้กับพืชที่ออกรากยากและไม่นิยมขยายพันธุ์โดยการปักชำ
6. ทำได้ไม่ยาก และไม่ต้องเอาใจใส่มากนัก
7. เป็นพุ่มเตี้ย สะดวกในการดูแลรักษาและเก็บเกี่ยว
ข้อเสียของการตอน
1. ไม่มีรากแก้ว จึงโค่นล้มง่าย ระบบรากตื้น ไม่ทนแล้ง
2. จำนวนกิ่งตอนที่ได้มีปริมาณน้อยกว่ากิ่งชำ
3. กิ่งตอนมีขนาดโตจึงต้องนำลงปลูกในภาชนะก่อนเมื่อตั้งตัวดีแล้วจึงย้ายลงแปลงปลูก
4. การขนย้ายกิ่งตอนไปปลูกไม่สะดวก เนื่องจากกิ่งมีขนาดใหญ่
วัสดุอุปกรณ์ในการตอน
1. มีดคม ๆ
2. ขุยมะพร้าวถุงพลาสติก (ขุยมะพร้าวผสมน้ำให้ชื้น บรรจุถุงพลาสติก รัดปากถุง แล้วใช้มีดกรีดด้านข้าง แหวะขุยมะพร้าวให้ลึกๆ)
3. เชือกฟาง
4. ฮอร์โมนเร่งราก
การเลือกกิ่งตอน
1. เลือกกิ่งที่มีขนาดประมาณเท่าแทงดินสอดำ
2. เลือกกิ่งที่กลางแก่กลางอ่อน คือกิ่งที่มีสีเขียวอมน้ำตาล
3. กิ่งที่มีลักษณะตั้งตรง หรือกิ่งกระโดง
4. เป็นกิ่งที่ได้รับแสงแดด
5. สมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคและแมลงรบกวน
วิธีการตอนแบบตอนในอากาศ (Air Layering) ( ความยาว 3.06 นาที )
การติดตา ( Budding )
การติดตา หมายถึง การนำตาจากกิ่งพันธุ์ดีมาหนึ่งตาทำให้เชื่อมติดกับต้นตอ แล้วตาที่นำมาติดนั้นจะเจริญเติบโตแตกกิ่ง เสมือนกับเป็นพืชต้นเดียวกับต้นตอ วิธีการติดตาที่นิยมใช้โดยทั่วไปมีดังนี้
1. การติดตารูปตัวที ( T – Budding ) เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมาก สำหรับติดตาต้นพืชที่ลอกเปลือกได้ง่าย โดยการกรีดต้นตอเป็นรูปตัวที รอยกรีดจะต้องอยู่ใต้ข้อ ขนาดของรอยแผลขึ้นอยู่กับขนาดของต้นตอ เฉือนกิ่งพันธุ์ดีเป็นรูปโล่ โดยไม่ให้ติดเนื้อไม้ หรือติดมาเพียงเล็กน้อย ใช้มีดเผยอรอยกรีดรูปตัวทีออกแล้วสอดแผ่นตาลงไป นิยมใช้กันมากสำหรับติดตากุหลาบ
2. การติดตาแบบปะ ( Patch Budding ) ใช้กับต้นตอที่สามารถลอกเปลือกได้ เช่น ยางพารา มะม่วง การติดตาแบบปะทำได้โดยการกรีดต้นตอถึงเนื้อให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วแกะเปลือกต้นตอ ต้องเฉือนกิ่งพันธุ์ดีให้มีขนาดและลักษณะเดียวกันประกบลงบนรอยแผลของต้นตอที่เตรียมไว้แล้วพันด้วยพลาสติกให้แน่น การติดตาแบบนี้มีเครื่องมือสำหรับเตรียมต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีให้มีขนาดเท่ากัน เรียกว่า แพซ์บัดเดอร์ ( Patch Budder )
การต่อกิ่ง ( Grafting )
การต่อกิ่ง หมายถึงการกระทำวิธีการใด ๆ เพื่อให้ได้กิ่งพันธุ์ดีซึ่งมีตามากกว่าหนึ่งตา เชื่อมประสานกับต้นตอที่เตรียมไว้ วิธีการต่อกิ่งทำได้หลายวิธี คือ
1. การต่อยอด ( Top-grafting ) คือการนำเอากิ่งพันธุ์ดีมาต่อลงบนต้นตอที่อยู่สูงกว่าระดับดิน เป็นวิธีการที่นิยมกันแพร่หลาย ทั้งไม้ผล ไม้ประดับซึ่งการต่อยอดนั้นสามารถดัดแปลงได้หลายแบบรอยแผลที่ทำกับต้นตอและกิ่งพันธุ์ดี คือ
1) การต่อแบบเสียบลิ่ม ( Cleft grafting )
2) การต่อแบบฝานบวบ ( Spliced grafting )
3) การต่อแบบเข้าเดือย ( Saddle grafting )
2. การต่อคอดิน ( Crown grafting ) เป็นการติดกิ่งโดยเอากิ่งพันธุ์ดีมาต่อลงบนต้นตอตรงบริเวณรอยต่อของรากและลำต้น เป็นวิธีการที่นิยมใช้เปลี่ยนยอดองุ่นที่มีอายุมาก ๆ โดยวิธีเสียบกิ่ง
3. การต่อราก ( Root grafting ) คือการเอากิ่งพันธุ์ดีมาต่อกับรากพืชโดยตรง เช่น แอปเปิ้ลและแพร์ ไม่พบว่านำมาใช้กับพืชชนิดใดในประเทศไทย
3.2.4 การทาบกิ่ง ( Inarching or Approach grafting )
การทาบกิ่ง คือ การทำให้พืชสองต้นเกิดการเชื่อมประสานเนื้อเยื่อกันขึ้นโดยมีระบบรากด้วยกันทั้งคู่ ขนาดของกิ่งพันธุ์ดี ควรมีความใกล้เคียงกับต้นตอหรืออาจใหญ่กว่าเล็กน้อยแต่ถ้ากิ่งพันธุ์ดีมีขนาดใหญ่กว่ามาก ควรใช้ต้นตอทาบมากกว่า 1 ต้น เมื่อกิ่งพันธุ์ดีและต้นตอเชื่อมกันสนิทดีแล้ว จึงตัดกิ่งทาบออกจากต้นแม่ การทาบกิ่งส่วนมากนิยมใช้กับพืชประเภท มะม่วง มะขามหวาน ขนุน และวิธีการทาบกิ่งที่นิยมกันมากที่สุดคือ การทาบแบบเสียบข้าง เพราะสามารถทำได้รวดเร็วและในการประสานเนื้อเยื่อของต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
3.2.5 การแบ่งและการแยก ( Division and Seperation )
การแบ่ง ( Division ) คือ การตัดแบ่งลำต้นและรากพืชประเภทสะสมอาหารไปปลูกหรือชำเพื่อให้เกิดต้นใหม่ เช่น การตัดแบ่งมันฝรั่ง ซึ่งมีลำต้นสะสมอาหารชนิดทิวเบอร์ ( Tuber ) และการตัดแบ่งหัวมันเทศ ซึ่งมีรากพิเศษที่สะสมได้และขยายพันธุ์ได้ที่เรียกว่า ทิวเบอร์รัส รูท ( Tuberous root )
การแยก ( Seperation ) คือ การขยายพันธุ์โดยการแยกส่วนของพืชไปปลูกหรือชำตามรอยธรรมชาติที่พืชมีอยู่แล้ว เช่น หอม กระเทียม พลับพลึง ว่านสี่ทิศ อาจใช้วิธีแกะกลีบออกโดยไม่ต้องผ่าหรือจะผ่าออกก็ได้
ประโยชน์ของการแบ่งและการแยก
1. เป็นวิธีขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศที่เป็นการเพิ่มจำนวนต้นพืชได้เร็วที่สุด
2. ใช้ขยายพันธุ์พืชประเภทหัว ทั้งประเภทใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่ซึ่งหัวเกิดจากลำต้นและรากพิเศษ เช่น ข่า หอม กระเทียม เป็นต้น
3.3 การขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ( Tissue Culture )
การขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่เป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของราก ต้น ยอด และคัพภของพืช โดยนำไปเพาะเลี้ยงในอาหารพิเศษซึ่งอยู่ในสภาพที่ปลอดเชื้อ ดังนั้นการขยายพันธุ์โดยวิธีนี้จึงเป็นการขยายพันธุ์ทั้งโดยอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ วิธีการขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนำมาใช้ครั้งแรกในกาเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ ปัจจุบันสามารถนำไปเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชได้เกือบทุกชนิด
ประโยชน์ของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
1. ใช้ขยายพันธุ์พืชให้ได้จำนวนมาก
2. ช่วยให้วิธีการขยายพันธุ์พืชโดยไม่ใช้เพศปราศจากเชื้อไวรัส
3. ช่วยในการปรับปรุงพันธุ์พืชและเก็บรักษาพันธุ์พืช
4. ใช้ในการศึกษาทดลองด้านต่าง ๆ ของนักพฤกษศาสตร์